จำนวนผู้เข้าชม

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

ประวัติวันสงกรานต์


คำว่า "สงกรานต์" มาจากภาษาสันสฤกตว่า สํ-กรานต แปลว่า ก้าวขี้น ย่างขึ้น หรือก้าวขึ้น การย้ายที่ เคลื่อนที่ คือพระอาทิตย์ย่างขึ้น สู่ราศีใหม่ หมายถึงวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งตกอยู่ในวันที่ ๑๓,๑๔,๑๕ เมษายนทุกปี แต่วันสงกรานต์นั้นคือ วันที่ ๑๓ เมษายน เรียกว่า วันมหาสงกรานต์ วันที่ ๑๔ เป็นวันเนา วันที่ ๑๕ เป็นวันเถลิงศก
กิจกรรมส่วนใหญ่ที่ทำในเทศกาลนี้ก็มี การทำความสะอาดบ้านเรือน ทำบุญทำทาน สรงน้ำพระ รดน้ำขอพรผู้ใหญ่ และเล่นสาดน้ำกัน เป็นต้น อย่างไรก็ดี นอกจากกิจกรรมดังกล่าวแล้ว ประเพณีสงกรานต์ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง สำหรับเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับประเพณีสงกรานต์มีดังนี้
๑.ก่อนที่เราจะถือวันสงกรานต์เป็นปีใหม่แบบไทยนั้น สมัยโบราณ เราถือเอาวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพราะถือว่าฤดูหนาว เป็นการเริ่มต้นปี ซึ่งจะตกราวเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามคติพราหมณ์ ซึ่งมีรากเหง้ามาจากการสังเกตธรรมชาติและฤดูการผลิต เป็น วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ หรือประมาณเดือนเมษายน ครั้นในปีพ.ศ. ๒๔๓๒ สมัยรัชกาลที่ ๕ ได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ ๑ เมษายน และต่อมาในปีพ.ศ. ๒๔๘๓ จอมพลป.พิบูลสงครามก็ได้ประกาศให้วันที่ ๑ มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่จนปัจจุบัน อันเป็นการนับแบบสากล อย่างไรก็ดี คนไทยในหลายภูมิภาคก็ยังยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ ซึ่งแต่เดิมแม้จะอยู่ในช่วงเดือนเมษายน ก็ไม่ได้ตรงกับวันที่ ๑๓ เมษายน ดังเช่นปัจจุบัน จนเมื่อพ.ศ.๒๔๔๔ เป็นต้นมา จึงได้กำหนดเป็นวันที่ ๑๓ เมษายน ตามปฏิทินเกรกอรี่ ๒.นอกจากประเทศไทยแล้ว ยังมีมอญ พม่า ลาว และชนชาติไทยเชื้อสายต่างๆอันเป็นชนส่วนน้อยในจีน อินเดีย ก็ถือว่าสงกรานต์เป็นเทศกาลฉลองวันขึ้นปีใหม่ของเขาด้วยเช่นกัน
๓.ภาคกลางเรียกวันที่ ๑๓ เมษายน ว่า “วันมหาสงกรานต์” ซึ่งวันนี้ทางการได้ประกาศให้เป็น “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” วันที่ ๑๔ เมษายน เรียก “วันเนา” และรัฐบาลสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณได้ประกาศให้เป็น “วันครอบครัว” ส่วนวันที่ ๑๕ เมษายน เรียก “วันเถลิงศก” คือวันเริ่มจุลศักราชใหม่
๔.ทางล้านนาเรียกวันที่ ๑๓ เมษายนว่า “วันสังขารล่อง” ซึ่งบางท่านให้ความหมายว่า หมายถึงอายุสิ้นไปอีกปี วันที่ ๑๔ เมษายน เรียก“วันเน่า” เป็นวันห้ามพูดจาหยาบคาย เพราะเชื่อว่าจะทำให้ปากเน่าและไม่เจริญ ส่วนวันที่ ๑๕ เมษายนเรียก “วันพญาวัน” คือวันเปลี่ยนศกใหม่
๕.ภาคใต้ เรียกวันที่๑๓ เมษายนว่า “วันเจ้าเมืองเก่า”หรือ “วันส่งเจ้าเมืองเก่า” เพราะเชื่อว่าเทวดารักษาบ้านเมืองกลับไปชุมนุมกันบนสวรรค์ ส่วนวันที่ ๑๔ เมษายน เรียกว่า “วันว่าง” คือวันที่ปราศจากเทวดาที่รักษาเมือง ดังนั้น ชาวบ้านก็จะงดงานอาชีพต่างๆ แล้วไปทำบุญที่วัด ส่วนวันที่ ๑๕ เมษายน เรียกว่า “วันรับเจ้าเมืองใหม่” คือวันรับเทวดาองค์ใหม่ที่ได้รับมอบหมายให้มาดูแลเมืองแทนองค์เดิมที่ย้ายไปประจำเมืองอื่นแล้ว
๖.ตำนานสงกรานต์ ซึ่งเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับสงกรานต์และนางสงกรานต์ที่เรารู้จักกันดีเป็นตำนานที่ รัชกาลที่ ๓ โปรดให้จารึกไว้ในแผ่นศิลา ๗ แผ่น ติดไว้ที่ศาลารอบพระมณฑปทิศเหนือ ในวัดพระเชตุพนฯหรือวัดโพธิ์
๗.นางสงกรานต์เป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นต่ำสุด มีด้วยกัน ๗ องค์เป็นพี่น้องกัน และต่างก็เป็นบาทบริจาริกา แปลว่า นางบำเรอแทบเท้า หรือเรียกง่ายๆว่า เป็น “เมียน้อย”ของพระอินทร์ จอมเทวราช และเป็นธิดาของท้าวกบิลพรหมในตำนาน
๘.นางสงกรานต์ มีชื่อตามแต่ละวันในสัปดาห์คือ วันอาทิตย์ ชื่อ นางทุงษะ วันจันทร์ ชื่อ นางโคราคะ วันอังคาร ชื่อ นางรากษส วันพุธ ชื่อ นางมณฑา วันพฤหัสบดี ชื่อ นางกิริณี วันศุกร์ ชื่อ นางกิมิทา วันเสาร์ชื่อ นางมโหทร
๙.นางสงกรานต์แต่ละองค์จะมีพาหนะทรงต่างกัน ตามลำดับแต่ละวัน คือ นางทุงษะขี่ครุฑ นางโคราคะขี่เสือ นางรากษสขี่หมู นางมณฑาขี่ลา นางกิริณีขี่ช้าง นางกิมิทาขี่ควาย และนางมโหทรขี่นกยูง ซึ่งสัตว์ที่เป็นพาหนะทรงจะมิใช่ปีนักษัตรของปีนั้นๆ ตามที่หลายคนเข้าใจผิด
๑๐.คำว่า “ดำหัว”ปกติแปลว่า “สระผม” แต่ในประเพณีสงกรานต์ล้านนา จะหมายถึง การไปแสดงความเคารพ ขออโหสิกรรมที่อาจได้ล่วงเกินในเวลาที่ผ่านมา รวมทั้งการไปขอพรจากผู้ใหญ่ ซึ่งหมายถึงญาติผู้ใหญ่ ผู้อาวุโสในหมู่บ้าน ในเมืองหรือครูบาอาจารย์ ผู้บังคับบัญชา โดยส่วนมากจะใช้น้ำขมิ้นส้มป่อยไปไหว้ท่าน และท่านก็จะจุ่มแล้วเอาน้ำแปะบนศีรษะเป็นเสร็จพิธี
๑๑.ในสมัยก่อนเมื่อใกล้สงกรานต์หรือวันสงกรานต์ จะมีสัตว์ชนิดหนึ่งที่คนแต่ก่อนเรียกว่า “ตัวสงกรานต์” เป็นสิ่งมีชีวิตลักษณะคล้ายไส้เดือน แต่เล็กขนาดเส้นด้าย ยาวประมาณ ๒ นิ้ว มีสีเลื่อมพราย เป็นสีเขียว เหลือง แดง ม่วง เปลี่ยนสีไปได้เรื่อยๆ จะอยู่กันเป็นฝูงในแม่น้ำลำคลอง เมื่อกระดิกตัวว่ายน้ำจะทำให้เกิดประกายสีต่างๆสวยงามแปลกตา ถ้าจับพ้นน้ำ สีจะจางหายไป ตัวจะขาดเป็นท่อนเล็กๆและเหลวละลาย ปัจจุบันเข้าใจว่าน่าจะสูญพันธุ์ไปแล้ว
๑๓.มูลเหตุของการก่อเจดีย์ทราย มีเรื่องเล่าว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จไปยังเมืองสาวัตถีพร้อมบริวาร ได้เห็นหาดทรายขาวบริสุทธิ์ก็เกิดจิตศรัทธาก่อทรายเป็นเจดีย์ ๘ หมื่น ๔ พันองค์ แล้วอุทิศเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา เมื่อพระองค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ได้ทูลถามถึงอานิสงส์การก่อเจดีย์ทรายดังกล่าว พระพุทธเจ้าตรัสว่า การที่มีจิตเลื่อมใสศรัทธาก่อเจดีย์ทรายถึง ๘ หมื่น ๔ พันองค์หรือเพียงองค์เดียวก็ได้อานิสงส์มาก คือ จะไม่ตกนรกหลายร้อยชาติ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเพียบพร้อมไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ มีบริวารและเกียรติยศชื่อเสียง หากตายก็จะได้ขึ้นสวรรค์ พรั่งพร้อมด้วยสมบัติและมีนางฟ้าเป็นบริวาร ด้วยอานิสงส์ดังกล่าวจึงทำให้คนโบราณนิยมก่อเจดีย์ทรายเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้...

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

ตามล่าหาความสุขในที่ทำงาน


เคยรู้สึกเช่นนี้บ้างไหม…
ตื่นเช้ามาไม่อยากไปทำงาน รู้สึกหดหู่ เบื่อหน่าย เคยรู้สึกไหมว่า แต่ละวันในการทำงานมันช่างผ่านไปช้าเสียเหลือเกิน เคยมีพฤติกรรมเช่นนี้บ้างไหม คือชอบหาโอกาสลางาน หรือหลีกเลี่ยงงานอยู่เสมอ
ทั้งหมดนี้เป็นคำถาม หรืออาการแสดง เพื่อให้คุณเริ่มสำรวจตัวเองว่าคุณกำลังมีความสุข หรือมีความทุกข์กับการทำงานของคุณ
ความสุขของคนเราขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่มากระทบ ไม่ว่าจะเป็นสภาพสังคม สภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ และอื่นๆ อีกมากมาย ความจริงข้อหนึ่งของความสุขก็คือ ความสุขขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในของบุคคล มากพอๆกับปัจจัยภายนอกที่มากระทบ ดังนั้นการบริหารจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะสร้างความสุขให้กับตัวคุณเองได้ เช่น การฝึกจิต จึงมีวิธีสร้างความสุขในการทำงานแบบง่ายๆ มาแนะนำ ดังนี้...
“อย่า” คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเล็กน้อย อย่าเก็บทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมาคิด หรือนำมาเป็นอารมณ์ซะทุกเรื่อง ให้คิดว่าผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หากมัวแต่เสียเวลาคิดว่า วันนี้โดนหัวหน้าตำหนิว่าทำงานแย่มาก เพื่อนร่วมงานพูดจากระแนะกระแหน หรือพูดจาเสียดสีคุณ แม้คุณจะปฏิเสธไม่ได้ว่า พฤติกรรมของคนอื่นมีผลทำให้คุณมีความสุข หรือมีความทุกข์ได้ก็ตาม สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบทำให้คุณไม่มีเวลาคิดจะสร้างหรือพัฒนางานของคุณ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าจะคิดมากกว่า ดังนั้นคุณต้องฝึกให้ตัวเองใช้เวลาในแต่ละวันคิดถึงเป้าหมายและวิธีที่จะไปสู่เป้าหมาย ความคิดนี้จะส่งผลให้คุณมีความกระตือรือร้นในการทำงาน และสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่ตลอดเวลามากกว่า
“อย่า” ต่อว่าองค์กร องค์กรเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง คุณต้องใช้เวลาในชีวิตประจำวันของคุณอยู่ที่ทำงาน มากกว่าอยู่ที่บ้านของตัวเองเสียอีก หลายต่อหลายคนมักจะมีความรู้สึกว่า ทำงานเพื่อรอรับเงินเดือน และมักจะต่อว่าองค์กรในทางที่ไม่ดีเสมอ บ่นว่าเงินเดือนก็น้อย โบนัสก็ได้แค่นี้เอง สวัสดิการไม่เอาไหน และอื่นๆ อีกมากมาย คิดในมุมกลับไม่มีองค์กรไหนที่ไม่เห็นความสำคัญของตัวคุณ นอกจากองค์กรที่คุณกำลังทำงานอยู่ เพราะเขายอมรับและให้โอกาสคุณเข้ามาร่วมงาน นั่นเพราะองค์กรเห็นศักยภาพ และความสามารถในตัวคุณ ซึ่งไม่เหมือนกับองค์กรอื่นที่ปฏิเสธและไม่ยอมรับคุณ หากคุณคิดได้เช่นนี้ ก็น่าจะทำให้คุณมีความรู้สึกดีๆ ต่อองค์กรแล้ว ไม่ต้องถึงขนาดต้องรักหรือผูกพันก็ได้
“อย่า” เลือกทำงานที่รัก ขอให้ “เลือกรักงานที่ทำ” เพื่อให้มีความสุขและสนุกกับงานที่กำลังทำอยู่ ลองพิจารณาคำถาม เหล่านี้ดู
งานที่คุณกำลังทำคืออะไร คุณได้ประโยชน์อะไรจากการทำงานนั้น คุณต้องปรับปรุงพัฒนางานอย่างไร คุณต้องปรับปรุงความสามารถด้านใด งานที่ทำอยู่มีอะไรนำไปใช้กับอนาคตของคุณ
ง่ายๆ ก็คือ คุณต้องมีเป้าหมายในการทำงานนั่นเอง หากตอบคำถามทั้ง 5 ข้อแล้วคุณจะค้นพบ “คุณค่า (value)” ที่เกิดขึ้นในตัวคุณ คุณค่านี้จะทำให้คุณมีความสุขกับการทำงาน ตื่นตัว กระตือรือร้น และอยากพัฒนาตนเองในทางที่ดีขึ้นตลอดเวลา
“อย่า” ให้ร้ายหัวหน้า ในชีวิตการทำงาน คุณไม่สามารถเลือกทำงานกับหัวหน้าที่เป็นแบบฉบับที่คุณชอบได้หรอกค่ะ คุณอาจต้องนั่งกุมขมับทุกวัน เพราะเข้ากับหัวหน้าไม่ได้ หัวหน้าบางคนเจ้าอารมณ์ บางคนสั่งอย่างเดียว บางคนชอบให้ประจบ บางคนทั้งวันทำแต่งาน ไม่ให้พักผ่อนยืดหยุ่นบ้างเลย เนื่องจากเลือกหัวหน้าไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดคือ ควรเข้าใจเหตุผลของการคิดและการกระทำของหัวหน้าคุณ เคารพและให้เกียรติหัวหน้าคุณ คอยให้การสนับสนุนและช่วยเหลือหัวหน้าเท่าที่จะทำได้
“อย่า” ดูถูกเพื่อนร่วมงานหรือคนรอบข้าง ไม่มีใครประสบความสำเร็จในการทำงานโดยลำพังได้ ทุกคนมีศักยภาพมีคุณค่าในตัวเขา อย่าดูถูกความคิดหรือความสามารถของคนอื่น ทุกคนมีความเด่น ด้อย แตกต่างกัน คุณสามารถทำงานของตนเองได้ดี แต่ไม่สามารถทำงานของคนอื่นได้ เพราะฉะนั้นควรให้เกียรติเพื่อนร่วมงานหรือคนรอบข้าง เพราะในความเป็นจริงแล้วมีปัจจัยอื่นๆ ที่ใช้วัดความสามารถของคน เช่น การควบคุมอารมณ์และการปรับตัว สิ่งที่ควรทำอย่างยิ่งคือ ศึกษาและปรับตัวให้เข้ากับคนได้ทุกประเภททุกระดับ
จิตใจดีเป็นดั่งสวน ความคิดดีเป็นดั่งรากไม้ คำพูดดีเป็นดั่งดอกไม้บานสะพรั่ง การกระทำดีเปรียบเสมือนผลไม้ จิตใจดี คิดดี พูดดี และกระทำดี คือ พรอันยิ่งใหญ่ที่จะทำให้ทุกคนมีความสุข.

ปัญหาความก้าวร้าว


สตอรร์ กล่าวว่า แรงขับก้าวร้าว (aggressive drive) มีความจำเป็นต่อชีวิตเพราะทำหน้าที่พื้นฐานทางชีววิทยา เพื่อสงวนและดำรงไว้ซึ่งชีวิตของบุคคลและเผ่าพันธุ์มนุษยชาติ ไม่แตกต่างจากสัญชาตญาณทางเพศ (sexual instinct) ไม่จำเป็น, ไม่ควร และ เป็นไปไม่ได้ ที่จะขจัดความก้าวร้าวในรูปแบบที่เหมาะสมออกไปจากชีวิตมนุษย์โดยสิ้นเชิง เพราะนอกจากจะเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่มีติดตัวมนุษย์มาแต่กำเนิดแล้ว ความก้าวร้าวในมนุษย์ยังเป็นลักษณะที่มีค่ายิ่งทางชีววิทยา เช่นเดียวกับความก้าวร้าวในสัตว์ชนิดอื่น ความก้าวร้าวในธรรมชาติมีไว้ป้องกันตนเอง เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ มากกว่า เพื่อทำลาย สิ่งที่ควรขจัดไม่ใช่ความก้าวร้าว แต่เป็น “การทำลายเยี่ยงศัตรู” ในลักษณะของ “ความรุนแรง” (violence)

ถ้าเรานึกถึงความก้าวร้าวในแง่สัญลักษณ์ของความชั่วร้ายเพียงประการเดียว เราก็จะกดเก็บไว้โดยสิ้นเชิง ซึ่งจะยิ่งทำให้แปรออกในรูปอื่นมากขึ้น โดยการใช้จิตกลไกต่าง ๆ เช่น ออกในรูปของความเศร้า เพราะใช้จิตกลไกชนิดหันเข้าหาตน (introjection) หรือ ออกเป็นอาการทางจิตสรีรวิทยา (psychophysiologic) จนเกิดอาการทางกายต่าง ๆ ซึ่งล้วนแต่เกิดผลเสียทั้งสิ้น
ประวัติจากวัยเยาว์ จนถึงอายุ 19 ปี จากเอกสารรายงาน เอฟ.บี.ไอ และ รายงานจากคุกแสดงชัดเจนว่า นักโทษชาย 10 คน ที่มีประวัติก่อคดีร้ายแรงกว่า และก้าวร้าวมากกว่าเมื่อครั้งที่เขาอยู่ในวัยรุ่น มีระดับเทสโทสตีโรนสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติซึ่งเป็นการแสดงว่า เทสโทสตีโรนอาจมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงทางอาชญากรรมในวัยเด็กจนถึงวัยรุ่น
เมื่อกล่าวถึงความก้าวร้าวในทางทำลาย คนทั่วไปมักนึกถึงการทำลายผู้อื่นหรือสิ่งอื่นเสมอ ซึ่งเป็นลักษณะที่ก้าวร้าวพุ่งออกสู่ภายนอก แต่แท้จริงความก้าวร้าวอาจหันกลับเข้าหาบุคคลนั้นเองหรือพุ่งหาตนก็ได้ ทำให้คนนั้นเกิดอาการซึมเศร้า ซึ่งอาจรุนแรงจนถึงขั้นฆ่าตัวตาย ซึ่งก็คือ การก้าวร้าวอย่างทำลายเช่นกัน คือ ทำลายตนเอง

ความก้าวร้าวชนิดทำลายตนเองที่พบบ่อยตามหน้าหนังสือพิมพ์ มักเกิดในหนุ่มสาวหรือวัยรุ่น ซึ่งผิดหวังในความรักแล้วยิงตัวตาย หรือกินยาตาย

นักจิตวิเคราะห์หลายคน รวมทั้งสตอรร์ กล่าวว่า ความนับถือและความภูมิใจในตน (self-esteem) ของมนุษย์เรานี้ ส่วนใหญ่ได้มาแต่วัยเด็ก ถ้าหากมีปัญหาทางอารมณ์ในวัยเด็ก ซึ่งขัดขวางไม่ให้พัฒนาการไปจนถึงระยะความเป็นชายหรือหญิงได้อย่างสมบูรณ์ พอที่จะสามารถรักใครและมีใครรักได้ เขาผู้นั้นก็จะขาดบ่อเกิดของความนับถือและภูมิใจในตน

ความรักนี้สำคัญยิ่งนักที่จะทำให้คนเราเกิดความนับถือและภูมิใจในตน
ฉะนั้น เมื่อผิดหวังในความรัก เขาผู้นั้นจึงรู้สึกเหมือนตนถูกโจมตีอย่างหนัก คนที่ขาดความมั่นคงทางใจจะพึ่งพาผู้อื่นมากกว่า และมีปฏิกิริยาต่อการถูกปฏิเสธความรักในทางเพศรุนแรงกว่าคนปกติ ซึ่งได้ความนับถือและภูมิใจในตนมาเพียงพอแล้วจากความรักของบิดามารดา คนเหล่านี้แม้จะถูกทำให้ช้ำใจและโกรธเพราะ ถูกปฏิเสธรัก ก็จะสามารถปรับจิตใจให้กลับคืนสู่สภาพปกติและหาคู่ใหม่ได้ คนที่รู้สึกว่าตนไม่มีใครรัก และไม่มีใครต้องการเท่านั้น ที่จะรู้สึกว่าทนถูกปฏิเสธหรือถูกรังเกียจไม่ได้ และจะรุนแรงก้าวร้าวกับตนเอง หรือกับคู่ของตน จนถึงกับยิงคู่รักแล้วยิงตัวตา
ในที่สุด ความก้าวร้าวอย่างทำลายก็หนีไม่พ้นเรื่องของการขาดความรักจากบิดามารดาแต่เยาว์วัย สตอรร์กล่าวว่า ไม่น่าเป็นไปได้ ที่จะมีสังคมใดในโลกซึ่งปราศจากการแข่งขันและการต่อสู้ แต่การต่อสู้มิได้หมายความถึง “สงคราม” หรือ “การทำลาย” เสมอไป
เด็กที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นคนอิสระและพึ่งตนเองได้ต้องมีส่วนของความก้าวร้าว ถ้าเด็กไม่ก้าวร้าวเลยเขาจะต้องพึ่งมารดาไปตลอดชีวิต เขาจะไม่รู้จักโต, เขาจะไม่อาจเป็นปัจเจกชน, เขาจะไม่สามารถปกครองตนเอง, และไม่อาจเป็น “นาย” ของชีวิตได้

เป็นที่น่าสังเกตว่า เด็กถูกห้ามไม่ให้ทำโน่นทำนี่ หรือ ไม่ห้าจับโน่นหยิบนี่มากมายเกินไป จนเขาเกิดความคับข้องใจ (frustration) ความโกรธและความก้าวร้าวจึงถูกกดเก็บ (repressed) ไว้มากเพราะถูกจำกัด ความก้าวร้าวที่ถูกกดเก็บไว้นั้นอาจมีมากเสียจนเป็นผลร้าย ก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเองหรือต่อผู้อื่นในเวลาต่อมา

ความก้าวร้าวอย่างสร้างสรรค์..........

แนวดังกล่าวนี้ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่า เด็กที่คับข้องใจน้อยที่สุดจะไม่ก้าวร้าวแท้จริงการณ์กลับตรงกันข้าม กล่าวคือ เด็กที่ได้รับการตามใจและมีเสรีภาพมากเกินไปกลับก้าวร้าวมาก เด็กจะรู้สึกขาดความมั่นคงทางใจ เขาจะไม่แน่ใจในบิดามารดาที่ไม่เคยก้าวร้าวเลย เขาจะรู้สึกว่าบิดามารดาไม่เคยต่อสู้เพื่อปกป้องคุ้มครองเขา อีกประการหนึ่งการขจัดหรือระบายความก้าวร้าวย่อมต้องการฝ่ายตรงกันข้าม ถ้าเด็กไม่มีใครที่เป็นฝ่ายโต้แย้ง, ขัดขืนเขาเสียบ้าง เขาจะรู้จักต่อสู้ดิ้นรนได้อย่างไร

การที่มนุษย์เรามีความเห็นไม่ตรงกัน, มีการขัดแย้งกัน, และมีการแข่งขันในทางสร้างสรรค์เป็นของดี เป็นส่วนของการสร้างเอกลักษณ์ และทำให้มนุษย์ดำรงชีพอยู่ได้ ถ้าเราไม่มีคนอื่นที่คิดและเชื่อ แตกต่าง จากเรา เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราคือใคร

ถ้าไม่มี “เขา” แล้วจะมี “เรา” ได้อย่างไร

ความขัดแย้งและความแตกต่างเป็นคุณมากกว่าโทษ ถ้าเรายอมรับความสำคัญข้างต้นดังกล่าว
แล้วทำไมเราจะต้องก้าวร้าวอย่างทำลาย “คน” หรือ “พวก” หรือ “สังคม” ที่ขัดแย้งกับเรา และถ้าเรายอมรับว่า สังคมใดก็ตามไม่อาจปราศจากการต่อสู้ได้ ทำไมเราไม่ชื่นชมฝ่าย “เขา” และพร้อมที่จะต่อสู้อย่างสร้างสรรค์

ในโลกเรานี้มีที่แคบๆ อยู่เพียง 2 แห่งเท่านั้น ที่มนุษย์อยู่อย่างสบายไม่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเลย แห่งแรกคือ โพรงมดลูกของมารดา แห่งสุดท้ายคือหลุมฝังศพ ซึ่งทั้งสองแห่งนั้นเป็นที่รโหฐานที่สุดของมนุษย์ แต่ทั้งสองแห่งนั้นก็ไม่มีไดนามิคของชีวิต แห่งแรกไดนามิคยังไม่เริ่ม และแห่งหลังไดนามิคของชีวิตได้จบลงแล้ว เมื่อไม่ต้องต่อสู้ก็ไม่ต้องก้าวร้าว
เราทุกคนก็ได้ผ่านแห่งแรกมาแล้ว แต่ก็ยังเดินทางไปไม่ถึงแห่งหลัง จึงยังต้องต่อสู้เมื่อต้องต่อสู้ก็ต้อง มีส่วน ของความก้าวร้าวแต่เราฝังใจเชื่อผิดๆ หรือมีอคติต่อความก้าวร้าวมานาน เรานึกถึงมันแต่ในแง่ทำลายบางทีบทความนี้อาจทำให้ท่านนึกถึงความก้าวร้าวในส่วนที่สร้างสรรค์บ้างท่านที่เคยเข้าใจผิดจะได้เลิกคิดก้าวร้าวต่อความก้าวร้าวเสียที

10 วิธีกินอาหารเพื่อสุขภาพ


ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก
1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้

เทคนิคการคลายเครียด


ความเครียดเป็นเรื่องของร่างกายและจิตใจ ที่เกิดการตื่นตัวเตรียมรับกับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ความเครียดเป็นเรื่องที่มีกันทุกคน จะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับสภาพปัญหา การคิด และการประเมินสถานาการณ์ของแต่ละคน ความเครียดเกิดจากสาเหตุสำคัญ 2 ประการ คือ
1. สภาพปัญาหที่เกิดขึ้นในชีวิต เช่น ปัญหาการเงิน ปัญหาการงาน ปัญหาครอบครัว ปัญหาการเรียน ปัญหาสุขภาพ เป็นต้น
2. การคิดและการประเมินสถานการณ์ของบุคคล เราจะสังเกตได้ว่าคนที่มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ใจเย็น จะมีความเครียดน้อยกว่าคนที่มองโลกในแง่ร้าย เอาจริงเอาจังกับชีวิตและใจร้อน นอกจากนี้คนที่รู้สึกว่าตัวเองมีคนคอยให้การช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา เช่น มีคู่สมรส มีพ่อแม่ ญาติพี่น้อง มีเพื่อสนิท ก็จะมีความเครียดน้อยกว่าคนที่อยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง
การจัดการกับความเครียด
แนวทางในการจัดการกับความเครียด มีดังนี้
1 หมั่นสังเกตความผิดปกติทางร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมที่เกิดจากความเครียด
2 เมื่อรู้ตัวว่าเครียดจากปัญหาใด ให้พยายามแก้ปัญหานั้นให้ได้โดยเร็ว
3 เรียนรู้การปรับเปลี่ยนความคิดจากแง่ลบให้เป็นแง่บวก
4 ผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีที่คุ้นเคย
5 ใช้เทคนิคเฉพาะในการคลายเครียด
การสำรวจความเครียดของตนเอง
ความเครียดจะส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรม ดังนี้
ความผิดปกติทางร่างกาย ได้แก ปวดศรีษะไมเกรน ท้องเสีย หรือท้องผูก นอนไม่หลับหรือง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เบื่ออาหารหรอืกินมากกว่าปกติ ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ประจำเดือนมาไม่ปกติ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เป็นต้น
ความผิดปกติทางจิตใจ ได้แก่ วิตกกังวล คิดมาก คิดฟุ้งซ่าน หลงลืมง่าย ไม่มีสมาธิ หงุพหงิด โกรธง่าย ใจน้อย เบื่อหน่าย ซึมเศร้า เงหา ว้าเหว่ สิ้นหวัง หมดความรู้สึกสนุกสนาน เป็นต้น
ความผิดปกติทางพฤติกรรม ได้แก่ สูบบุหรี่ ดื่มสุรามากขึ้น ใช้สารเสพย์ติด ใช้ยานอนหลับ จู้จี้ขี้บ่น ชวนทะเลาะ มีเรื่องขัดแย้งกับผู้อื่นบ่อย ๆ เงียบขลึม เก็บตัว
แก้ปัญหาได้ก็หายเครียด
ปัยหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดความเครียดในช่วงที่ยังแก้ปัญหาไม่ได้จะรู้สึกเครียดมาก เมื่อแก้ปัญหาได้แล้ว ความเครียดจะหมดไป เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องเหมาะสมเพื่อจะได้แก้ปัญหาได้ดีและรวดเร็วยิ่งขึ้น
จงละเว้นการแก้ปัญหาแบบต่าง ๆ ต่อไปนี้
1 อย่า...แก้ปัญหาแบบวู่วาม ใช้อารมณ์เป็นใหญ่
2 อย่า...หนีปัญหา
3 อย่า...คิดแต่จะพึ่งพาผู้อื่นอยู่ร่ำไป
4 อย่า...เอาแต่ลงโทษตัวเอง
5 อย่า...โยนความผิดให้ผู้อื่น

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

12 วิธีวางแผนใช้เงินอย่างฉลาด




1. การวางแผนการเงิน การวางแผนการเงิน ถือเป็นข้อพึงปฏิบัติแรกที่ทุกคนจะต้องทำ ทั้งวางแผนการเงินของตัวเองและครอบครัวให้เหมาะสม ประกอบด้วย การสำรวจตัวเอง, กำหนดเป้าหมาย, จัดสัดส่วนการใช้เงิน,ลองทำแผนมาปฏิบัติ
2. จัดงบดุลคุมค่าใช้จ่ายส่วนตัว

1)รวมตัวเลขรายได้ของคุณทั้งหมด

2) รวบรวมและจดบันทึกรายจ่ายในแต่ละเดือน คุณจ่ายเงินไปกับเรื่องใดบ้าง

3) คาดคะเนรายจ่ายในอนาคต

4) ทำสรุปงบประมาณ แล้วตั้งงบดุลเงินสด

5) ติดตามการใช้จ่ายและปรับปรุงงบประมาณ

3. ออมเพลิน เมินจน การเก็บออมควรแยกบัญชีเงินฝากเป็น 3 บัญชี ได้แก่ บัญชีใช้จ่ายเผื่อฉุกเฉิน บัญชีเงินออม และบัญชีเพื่อการลงทุน
4. บริหารหนี้ หนีกับดักทางการเงิน การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ ซึ่งหนี้นั้น มีทั้ง “หนี้ดี” และ “หนี้ฟุ่มเฟือย” ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ วิธีการที่ดีที่สุดในการลดหนี้ คือ พยายามใส่เงินจำนวนมากที่สุดโดยไม่กระทบกับรายจ่ายประจำที่จำเป็น เพื่อชำระหนี้สินที่ถูกคิดดอกเบี้ยแพงที่สุด
5. วางแผนประหยัดภาษี วิธีง่าย ๆ คือ สรรหาค่าลดหย่อน ประกอบด้วย ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน เงินบริจาค ทำประกันชีวิต ฯลฯ
6. ก่อนจูงมือไปแต่งงาน คู่สมรสควรวางแผนอนาคตทางการเงินระยะยาวถึง 10 ปี และให้จัดแยกเงินออกเป็นหลาย ๆ บัญชี ตามวัตถุประสงค์ของการใช้เงินแต่ละประเภท
7. แผนการเงินเพื่อซื้อรถยนต์ ค่าใช้จ่ายในการซื้อรถ ไม่ควรเกินอัตรา 15% ของรายได้ครอบครัว เพื่อไม่ให้เกิดภาระผ่อนส่งเกินตัว
8. แผนการเงินเพื่อซื้อบ้าน คือ “เลือกโครงการที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด กู้เงินให้น้อยที่สุด และผ่อนชำระให้เร็วที่สุด”
9. แผนการเงินเพื่อเจ้าตัวน้อย จากการสำรวจค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการคลอดบุตร และค่าเลี้ยงดูบุตรต่อเดือน ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวสามารถจัดการได้ คือ พอเริ่มตั้งครรภ์ก็เริ่มเก็บเงิน และบริหารเงินให้ดี
10. แผนการเงินเพื่อการศึกษาลูก ในการคำนวณหาค่าเล่าเรียนต้องคิดจากค่าเงินในปัจจุบันและอนาคต โดยให้รวมค่าอัตราการเพิ่มของค่าเทอมหรือเงินเฟ้อเฉลี่ยต่อปี (ประมาณ 5%) เข้าไปด้วย

11. แผนการเงินยามเกษียณทั้งหมดนี้เป็นวิธีบริหารเงินที่จะทำให้ทุกคนมีกินมีใช้แบบไม่จนตลอดปีและตลอดไป.
ให้คุณคำนวณเงินที่คุณควรมี เมื่อตอนเกษียณ โดยเอา 1 หาร 10 คูณอายุปัจจุบัน และคูณรายได้ทั้งปี หากคุณมีเงินออมน้อยกว่าที่คำนวณได้ คุณควรต้องเก็บเงินในสัดส่วนที่มากขึ้น จึงจะพอใช้จ่ายในอนาคต
12. การลงทุนและการจัดสำหรับลงทุน คุณควรแบ่งเงินไว้สำหรับใช้จ่ายกรณีฉุกเฉิน และกันไว้สำหรับสร้างหลักประกันเรียบร้อยแล้ว เงินที่เหลือจะเป็นเงินที่คุณนำมาลงทุนได้ ซึ่งประเภทของการลงทุน มีตั้งแต่หุ้น ตราสารหนี้ กองทุนรวม และเงินฝาก เหล่านี้ผู้ลงทุนจะต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด

ข้อคิดเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น


คนเป็นสิ่งมีชีวิตที่แสนมหัศจรรย์ เราสามารถเป็นได้อย่างที่ใจนึกทุกอย่างเพียงแค่ควบคุมผ่าน “วิธี คิด” ที่มีต่อตัวเอง เป็นเหมือนการสร้างจิตใต้สำนึกให้รับคำสั่งนั้น และมีพลังพอที่จะลงมือทำให้เกิดผลสำเร็จขึ้นจริง ๆ และนี่คือสิ่งที่คุณควรบอกตัวเองอย่างสม่ำเสมอค่ะ

1. ฉันทำได้ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เราทำไม่ได้ ถ้าเรามุ่งมั่นที่จะทำสิ่งนั้นอย่างจริงจัง การย้ำกับ ตัวเองว่า “ฉันทำได้” จึงช่วยกระตุ้นให้จิตใจรับข้อมูลและนำไปสู่การลงมือทำเพื่อให้บรรลุผลนั้นๆ ในที่สุด

2. ฉันจะคิดแต่เรื่องดีๆ เท่านั้น การคิดเชิงบวกสร้างความหวังถึงโอกาสที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ สำเร็จลุล่วง อย่างน้อยก็สร้างพลังให้เห็นหนทางในการลงมือเปลี่ยนความคิดให้เป็นความจริงได้แล้วขั้นหนึ่งและเมื่อเราหัดคิดเชิงบวกบ่อยๆ เราจะกลายเป็นคนที่มีชีวิตชีวา มีความกระตือรือร้น และสามารถจัดการงานต่างๆให้ลุล่วงอย่างมีประสิทธิภาพได้ง่ายขึ้น

3. ฉันต้องเป็นอย่างฮีโร่ในใจให้ได้ กรณีต้นแบบในใจจะช่วยให้เรามีจุดหมายและทิศทางว่าเรา ต้องการเป็นแบบไหน (ไม่ใช่เลียนแบบ) และสร้างแรงบันดาลใจให้เราค่อยๆ เดินไปสู้เส้นทางนั้นอย่างชัดเจนขึ้นในที่สุดคุณสมบัติที่ดีเหล่านั้นจะกลายเป็นบุคลิกภาพและนิสัย (ที่ดี) ของคุณ และทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ไม่ยาก

4. ฉันจะเปิดใจต่อสิ่งใหม่เสมอ บางทีคนเรามีรูปแบบความคิด ความเชื่อ การลงมือทำ หรือการ ดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ และอาจรู้สึกต่อต้านสิ่งที่ไม่เคยทำหรือไม่คุ้นเคยทำ ทั้งที่สิ่งนั้นอาจนำไปสู่วิธีที่ง่ายกว่า ดีกว่าก็เป็นได้ดังนั้น ลองเปลี่ยนความคิดว่า “เราไม่เคยทำอย่างนั้น” มาเป็น “ลองวิธีนี้ดูก็ดีเหมือนกัน” อย่างน้อย ก็ช่วยให้คุณมีทางเลือกในการทำสิ่งต่างๆ มากยิ่งขึ้น

5. ฉันรู้ว่าไม่มีอะไรสายเกินไป อย่าเสียใจกับความผิดพลาดที่ผ่านไปแล้ว เพราะเราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้อีก แต่ลองใช้ประโยชน์จากความบกพร่องในครั้งก่อนเพื่อทำครั้งต่อไปให้รอบคอบขึ้น การบอกตัวเองว่า “ไม่มีอะไรสายเกินไป” ทำให้เรามีกำลังใจที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีขึ้นการทำปัจจุบันให้ดีก็คือการสร้างอนาคตที่สมบูรณ์นั่นเองค่ะ

คิดอย่างไรไม่ให้เครียด


ความเครียด เป็นเรื่องของร่างกายและจิตใจ ที่เกิดจากการตื่นตัวเตรียมรับกับสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งคาดว่าเป็นเรื่องที่เกิดกำลังความสามารถที่จะแก้ไขได้ ทำให้รู้สึกหนักใจ เป็นทุกข์และส่งผลทำให้เกิดอาการผิดปกติ ทั้งทางร่างกายและจิตใจตามไปด้วย
ความเครียดนั้นมีกันทุกคน แต่ละมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาการคิดการประเมินสถานการณ์ของแต่ละคน ถ้าคิดว่าปัญหาไม่ร้ายแรงแก้ไขได้โดยง่าย ก็จะไม่เครียด แต่ถ้าหากว่าปัญหานั้นยิ่งใหญ่ ร้ายแรง แก้ไขลำบาก ก็จะทำให้เครียดมาก หากว่ามีความเครียดในระดับที่พอดี ๆ ก็จะช่วยให้มีพลัง มีความกระตือรือร้นในการต่อสูงชีวิต ฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งนี่เองคือข้อดีของความเครียด ไม่ใช่ว่าเครียดจะไม่มีส่วนดี ๆ เอาเสียเลย
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความเครียดมี 2 ประการคือ
1. สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม ปัญหาการปรับตัว ปัญหาการเรียน ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้ล่วนเป็นตัวกระตุ้นอย่างดีที่จะทำให้เกิดความเครียดได้
2. การคิดและการประเมินสถานการณ์ของบุคคล จะสังเกตได้ว่าคนที่มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ใจเย็น จะมีความเครียดน้อยกว่าคนที่มองโลกในแง่ร้าย เอาจริงเอาจัง ใจร้อนและวู่วาม
จากสาเหตุที่สำคัญนี้ ความเครียดจะไม่เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่จะเกิดจากทั้งสองสาเหตุประกอบกันคือ มีสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นตัวกระตุ้น แล้วมีความคิดและการประเมินสถานการณ์เป็นตัวบ่งว่าจะเครียดมากเครียดน้อยเพียงใด
เมื่อปัญหากระตุ้นให้เกิดความเครียด การลดความเครียดจึงจำเป็นที่จะต้องรู้วิธีคิดที่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งวิธีคิดที่เหมาะสมได้แก่
1. คิดในแง่ยืดหยุ่นให้มากขึ้น อย่าเอาจริงเอาจัง เข้มงวดจับผิด หรือตัดสินถูกผิดตัวเอง หรือผู้อื่นตลอดเวลา รู้จักผ่อนหนัก ผ่อนเบา ผ่อนสั้น ผ่อนยาว ลดทิฐิมานะและที่สำคัญควรรู้จักการให้อภัยก็จะทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น และมีความเครียดน้อยลง
2. คิดอย่างมีเหตุผล ไม่ด่วนเชื่ออะไรง่าย ๆ ไม่ด่วยสรุปอะไรง่าย ๆ ให้พยายามใช้เหตุผลตรวจสอบข้อเท็จจริง ความเป็นไปได้ ไตร่ตรองให้รอบคอบ เพราะนอกจากจะไม่ทำให้ตกเป็นเหยื่อให้ใครหลอกเอาง่าย ๆ แล้ว ยังสามารถตัดความกังวลใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปได้อีกด้วย
3. คิดหลาย ๆ แง่มุม มองหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านดีและไม่ดี พึงระลึกไว้เสมอว่า ทุกอย่างมีข้อดีและข้อไม่ดีประกอบกันทั้งสิ้น จึงไม่ควรมองด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียวให้ใจเป็นทุกข์ และที่สำคัญ ควรหัดคิดหัดมองในมุมของคนอื่นด้วย อย่างที่เขาเรียกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็จะช่วยให้เรามองอะไรได้กว้างไกลกว่าเดิม
4. คิดแต่เรื่องดี ๆ เพราะหากว่าเราคิดแต่เรื่องร้าย ๆ เรื่องความล้มเหลวผิดหวังหรือเรื่องที่เป็นทุกข์ ก็จะทำให้เครียดมากขึ้น ควรคิดถึงเรื่องดี ๆ ให้มาก ๆ นอกจากไม่ทำให้เครียดแล้วยังทำให้สบายใจมากขึ้นด้วย
5. คิดถึงคนอื่นบ้าง อย่าหมกมุ่นแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น เปิดใจให้กว้างรับรู้ความรู้สึกและความเป็นไปของคนอื่นและคนใกล้ชิด ใส่ใจที่จะช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของผู้อื่นในสังคม บางครั้งจะพบว่า ปัญหาหรือความเครียดที่กำลังเผชิญอยู่นั้นเป็นเรื่องเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับปัญหาของผู้อื่น ซึ่งความรู้สึกแบบนี้จะทำให้เครียดน้อยลง จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น และยิ่งถ้าสามารถช่วยให้ผู้อื่นแก้ไขปัญหาได้ ก็จะทำให้สุขใจมากขึ้นเป็นทวีคูณเลยทีเดียว

พูดจาอย่างไรให้สง่างาม


โบราณเคยบอก "พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วอัปราชัย" หลายคนมาแผลงเป็น "พูดดีเป็นศรีแก่ปาก พูดมากปากจะมีสี" จะยึดคำกล่าวไหนก็ได้ค่ะ เพราะหัวใจสำคัญอยู่ที่การ "พูดให้ดี"
ทำไมต้องพูดให้ดี...เพราะการพูดให้ดีนั้น ฟังแล้ว "เข้าหู" ชวนฟัง ชวนให้คล้อยตาม ชวนให้รู้สึกประทับใจและก่อให้เกิดสิ่งดี ๆ ตามมาได้อีกมากมายการพูดเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตค่ะ เพราะตลอดทั้งชีวิต เราต้องอาศัยการพูดเป็นการสื่อสารที่สำคัญ พูดไม่เป็น พูดไม่เข้าหูคน หรือพูดแล้วคนอยากพาไป "ผ่าสุนัขออกจากปาก" อย่างที่เขาล้อ ๆ กันนั้น ท่าทางชีวิตจะย่ำแย่ ดังนั้นมาเรียนรู้การพูดการจาให้เป็นสง่าราศีแก่ชีวิตดีกว่าค่ะ
1. คนจะพูดดีได้ต้องเริ่มจากคิดดี ไม่มีประโยชน์ที่เราจะเริ่มต้นจากการคิดร้ายแม้กับคนที่เราไม่ถูกชะตาด้วยที่สุด ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องพูดจาไม่ดีกับเขา การคิดดี ถือเป็นเรื่องพื้นฐานของมนุษย์ เป็นพื้นฐานของจิตใจที่ดีงาม ใครก็ตามที่รู้จักคิดดี เขาก็จะเห็นแง่งามของโลกของชีวิต ของตนเอง และของผู้อื่น เมื่อเห็นแง่งามหรือแง่ดีของสิ่งต่าง ๆ เขาก็ย่อมมีทัศนคติที่ดี มีท่าทีที่ดีและเมื่อต้องพูดจากเสวนากัน เขาก็ย่อมพูดจาดีการพูดจาดี ไม่เพียงแต่สะท้อนการให้เกียรติและเคารพในตัวคนอื่น แต่ยังสะท้อนการให้เกียรติและเคารพตนเองอีกด้วย คนจะพูดจาดีได้ต้องรับการอบรมมาดี อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ดิฉันขอย้ำอีกครั้งว่า บุคลิกภาพดี ๆ เริ่มต้นที่ครอบครัว การพูดจาดีก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องเริ่มจากในบ้าน พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างของคนที่พูดจาดี ๆ ต่อกัน ต้องเป็นผู้ชี้แนะคุณค่าของการพูดดีพูดดีในที่นี้หมายความว่าอะไร หมายความว่าพูดเพราะ พูดคำสุภาพ มีน้ำเสียงที่สุภาพ มีหางเสียงครับ ค่ะ จ๊ะ จ้ะ เพื่อแสดงความมีมารยาท มีไมตรีจิต ไม่พูดคำหยาบ ไม่ใส่ร้าย ไม่ตะคอกตะเบ็งใส่กัน ไม่ประชดประชัน ไม่โกหกพกลม คนจะพูดดีเช่นนี้ได้จะคิดร้ายอยู่ในใจไม่ได้แน่นอนเพราะความร้ายกาจในใจจะเผยมาทางคำพูด น้ำเสียง แววตา หรือท่าทีขณะที่พูดได้ จึงจำเป็นต้องฝึกตนให้เป็นคนคิดดี
2. พูดถูกกาลเทศะ ไม่ใช่ตลอดเวลาหรอกค่ะ ที่คนเราจะพูดได้ ต้องมีบ้างบางขณะที่เราหยุดพูด เพื่อเป็นผู้ฟังคนอื่นพูดบ้าง คนบางคนถูกตั้งข้อสังเกตว่า "ผีเจาะปากมาพูด" คือพูด ๆๆๆๆ ฟังไม่เป็น ไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นพูด ทำตัวเป็นผู้รู้ไปหมดทุกเรื่อง จึงพูดอยู่ตลอดเวลาคนแบบนี้น่ารำคาญ จริงไหมคะอย่าทำตัวน่ารำคาญ ด้วยการพูดจาไม่หยุดไม่หย่อน ไม่ดูวาระและโอกาส คนพูดเป็นจะรู้ว่าโอกาสไหนควรพูด โอกาสไหนควรฟัง และโอกาสไหนควรวางเฉย คนที่รู้จักพูดเขาจะดูสถานที่ และเลือกวิธีพูดจาให้เหมาะสมกับผู้ฟังและสถานที่ ผู้ฟังที่อาวุโสกว่าเรา เราต้องพูดด้วยท่าทีและน้ำเสียงอย่างหนึ่ง เป็นเพื่อนกันก็พูดอย่างหนึ่งเป็นน้องเป็นนุ่งเราก็ต้องพูดอีกแบบหนึ่ง พูดในที่ประชุมจะเหมือนพูดในกลุ่มเพื่อนไม่ได้ พูดคุยกับเพื่อนก็อย่าทำตัวน่าเบื่อเหมือนบรรยายวิชาการ การปรับตัวหรือพลิกแพลงตามสถานการณ์ที่ต่างกันไปเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเรียนรู้หลักการพูดให้ถูกกาลเทศะทำได้ง่าย ๆ คือ ดูว่าเราต้องพูดในหัวข้อไหน เรื่องอะไร พูดที่ไหน ใครฟัง ผู้ฟังกี่คน ฟังกันในที่เปิดเผยหรือในห้องจำกัด พูดสั้นหรือพูดยาว จริงจังหรือกันเอง ใครอ่านสถานการณ์ออก เตรียมตัวพร้อม ก็สามารถพูดจาได้น่าจดจำตามวาระและโอกาสนั้น ๆ ได้เสมอ
3. พูดมีเนื้อหาสาระ ห้ามพูดเรื่อยเปื่อย ไม่ว่าจะคุยกันกับเพื่อน ผู้ร่วมงานพ่อแม่ หรือพูดในที่ประชุมหรือที่สาธารณะ ก็ต้องมีเป้าหมายในการพูด พูดอย่างมีสาระ มีขอบเขตชัดเจนว่าต้องการสื่อสารเรื่องอะไร หรือต้องการจะบอกกับผู้ฟังว่าอะไร
4. พูดจาให้น่าฟัง น้ำเสียงที่กังวานแจ่มใส ดังพอประมาณ พูดจาฉะฉานชัดเจน จะดึงดูดความสนใจจากผู้ฟังได้มาก การพูดในบ้างครั้งต้องพูดปากเปล่า แต่บ่อยครั้งก็ต้องพูดผ่านไมโครโฟน หากมีโอกาสฝึกฝนเรื่องการใช้เสียงอย่างเหมาะสมทั้งแบบปากเปล่าและผ่านไมโครโฟนได้ ก็ควรทำ เพราะการพูดผ่านไมโครโฟนนั้น ต้องมีระยะใกล้ไกลระหว่างปากกับไมโครโฟนที่พอเหมาะ เสียงจึงจะชัดเจน ไม่มีเสียงเสียดแทรกจนผู้ฟังรู้สึกไม่สบายหู หรือรำคาญในการพูดนั้น ควรมีการเน้นจังหวะและเว้นจังหวะเพื่อให้เกิดความน่าสนใจ ชวนติดตาม ควรฝึกลมหายใจระหว่างการพูดอย่างให้ติดขัด ดูเหมือนหอบเหนื่อย หรือกักลมหายใจจนผู้ฟังเห็นแล้วอึดอัด หรือรู้สึกเหนื่อยแทน การออกเสียงอักขระ ร.เรือ ล.ลิง และคำควบกล้ำต้องชัดเจน ลองฝึกอ่านออกเสียง หรือพูดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งในเทป แล้วเปิดฟังบ่อย ๆ จะพบข้อบกพร่องและแก้ไขได้ง่าย
5. พูดให้เกิดความรู้สึกร่วม วิธีการง่าย ๆ คือ สบตากับผู้ฟังอย่างทั่วถึง ตั้งคำถามในขณะพูดแล้วค่อย ๆ อธิบายเพื่อนำไปสู่คำตอบ สอบถามผู้ฟังบ้างในบางหัวข้อที่ง่าย ๆ หรือเป็นเรื่องของประสบการณ์ เป็นเรื่องของความคิดเห็นที่ไม่ใช่เรื่องซึ่งเมื่อตอบแล้วอาจถูกหรือผิดผู้พูดจำเป็นต้องรู้พื้นภูมิของผู้ฟังบ้าง เพื่อพูดในภาษาที่เขาเข้าใจง่าย บางครั้งการพูดด้วยสำเนียงท้องถิ่นก็ทำให้ผู้ฟังรู้สึกดี รู้สึกเป็นกันเอง อย่าพูดไทยผสมกับภาษาต่างประเทศโดยไม่อธิบาย เลือกใช้ภาษาต่างประเทศเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และยกตัวอย่างที่คาดว่าผู้ฟังน่าจะมีประสบการณ์ร่วม อย่ายกตัวอย่างไกลตัวการพูดเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของคนเรา เป็นภาพฟ้องอุปนิสัยใจคอ จึงไม่อาจพูดจาเรื่อยเปื่อย ไร้จุดหมาย ไร้การระมัดระวังได้การพูดนำมาซึ่งมิตรและศัตรู แต่ก็นั่นแหละ เราเลือกได้นี่คะว่าจะพูดให้ได้เพื่อน หรือพูดให้ได้ศัตรูการพูดทำให้คนเราดูดีหรือดูแย่ได้ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราเลือกอะไรย้อนกลับไปอ่านทั้ง 5 ข้ออีกครั้ง แล้วลองตัดสินใจเลือกดูนะคะ

ข้อคิดในการเลือกคู้สำหรับผู้หญิง


ในยุคสมัยหนึ่งผู้หญิงจะกลัวตัวเลข “30” มาก คือถ้าอายุ 30 ปียังไม่มีคู่ครอง ก็จะเครียดกับคำพูดของคนรอบข้างจนไม่เป็นอันทำการงานทีเดียวผู้หญิงไม่อาจผ่านพ้นวิถีชีวิตเช่นนี้ไปได้ง่ายนัก ในเมื่อความยึดถือการวางสมมติไว้ในสังคม มักจะ “สนับสนุนส่งเสริม” ให้แต่งงานมากกว่าให้อยู่เป็นโสด ซึ่งก็สอดคล้องกับค่านิยม จึงทำให้ผู้หญิงที่แม้คิดจะอยู่เป็น โสด ชีวิตโสดก็มีความสุขดีอยู่แล้วแต่ก็ต้องลังเล สุดท้ายก็ต้องตกกระไดพลอยโจนไปกับค่านิยมนี้หลังแต่งงานมีความสุขจริงหรือ มีการสำรวจคู่แต่งงานในกรุงเทพมหานคร พบว่าทุก 10 คู่ที่จดทะเบียนสมรส จะกลับมาจดทะเบียนหย่า 3-4 คู่ เพราะชีวิตคู่ถึงจุดระเบิด และนักจิตวิทยาพบว่ามากกว่า 30% ของคู่แต่งงานจะทนอยู่ด้วยกันโดยไม่มีความสุขแต่ไม่ยอมหย่าร้าง ดังนั้นสรุปได้ว่า จากคู่แต่งงาน 10 คู่จะมีเพียง 3-4 คู่ เท่านั้นที่ชีวิตสมรสสมบูรณ์ มีความสุขมากกว่าการอยู่เป็นโสด แสดงว่าโอกาสที่จะล้มเหลวมากกว่าครึ่ง แล้วจะป้องกันได้อย่างไรมีหนังสือมากมายที่เขียนเกี่ยวกับการเลือกคู่ชีวิต อ่านกันไม่หวาดไม่ไหว บางเล่มอ่านแล้วมีแต่น้ำไม่มีเนื้อ บางเล่มอ่านแล้วปฏิบัติจริงไม่ได้ บางเล่มเป็นของต่างประเทศที่แปลมาแล้วไม่เข้ากับสังคมไทย อย่างไรก็ตามผู้หญิงควรจะใส่ใจเรื่องการเลือกคู่ไว้บ้าง ผู้ชายแต่งงานกี่ครั้งๆก็ไม่เสียหายอะไร แต่ผู้หญิงจะเจ็บปวดและเจ็บลึกมากกว่าและโอกาสเริ่มต้นใหม่จะน้อยลงเรื่อย ๆ ผมพยายามรวบรวมเรื่องการเลือกคู่ที่ได้อ่านมาและนี่คือเหตุผล 8 ข้อ ที่สรุปมาให้อ่านสำหรับผู้หญิงที่คิดจะแต่งงาน

1) อย่าแต่งงานเพราะกลัวว่าจะไม่ได้แต่ง คู่ที่หามาได้จากการไม่พิจารณาให้รอบคอบนั้น จะมีผลร้ายกับชีวิตทุกข์ทรมานไปจนตาย อย่าไปสนใจกับคนรอบข้าง มีงานวิจัยมากมายที่แสดงว่า การอยู่เป็นโสดมีความสุขมากกว่า

2) อย่าแต่งงานเพราะคุณอยากจะออกจากบ้านจากครอบครัวเดิมของคุณ เพราะแม้ที่บ้านเราจะมีปัญหามากมาย แต่คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าครอบครัวอื่นไม่มีปัญหา การที่แต่งงานแล้วไปอยู่กับครอบครัวอื่นซึ่งคุณเป็นคนนอกจะมีปัญหาที่คุณคาดไม่ถึงมากมาย

3) อย่าแต่งงานเมื่อคุณกำลังอกหักหรือเมื่อต้องการประชดแฟนเก่า ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หมอกควันเข้าปกคลุมชีวิต รอให้ทุกอย่างแจ่มใสเสียก่อนคุณจะเห็นภาพชัดขึ้น4) อย่าแต่งงานเพราะคุณสงสารเขา ผู้ชายที่น่าสงสารมักมีจุดอ่อน มีปมด้อยและพฤติกรรมเปลี่ยนไปมากมายภายหลังการแต่งงาน ความสงสารไม่จีรังยั่งยืนเท่ากับความรัก สักวันหนึ่งคุณอาจคิดกลับ

5) อย่าแต่งงานเพราะหลงใหลในรูป สมบัติของเขาเพียงอย่างเดียว รูปร่าง หน้าตา ทรัพย์สิน เป็นเรื่องภายนอก เป็นเปลือกที่คุณอาจไม่รู้ว่ามีเนื้อแท้ที่เน่าอยู่ภายใน6) อย่าแต่งงานเพราะอยากหนีตนเอง เพราะการแต่งงานไม่ได้ช่วยให้คุณหนีตัวเองได้ แม้ว่าจะแต่งกี่ครั้งก็ตาม

7) อย่าแต่งงานเพราะคิดว่าจะเปลี่ยนนิสัยเขาได้ ในทางจิตวิทยาแล้วนิสัยส่วนลึกของคนเรา เปลี่ยนไม่ได้จะเป็นเช่นนั้นไปตลอดชีวิต ดังนั้นการตัดสินใจแต่งงานโดยคิดว่าเขาคงเปลี่ยนไปหลังแต่งเป็นการคิดที่ผิดมหันต์

8) อย่าแต่งงานเพราะความเหงา ความเหงาเป็นเครื่องมือของกรรมอย่างหนึ่ง ถ้าเราไม่รู้วิธีจัดการกับมัน ชีวิตจะถูกกฎแห่งกรรมชักจูงไป บางคนไปติดยาเสพติด บางคนไปติดการพนัน ติดสุรา บางคนใช้ชีวิตเสเพลกับเพื่อนฝูงและแน่นอนการตัดสินใจแต่งงาน เพราะกลัวเหงา เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างไรก็ตาม ถ้าปฏิบัติตามกฎ 8 ข้อนี้อย่างเคร่งครัด คุณอาจจะกลายเป็นคนขี้ระแวงไปเรื่องความรักบางครั้งก็ไม่มีเหตุผลถ้าคุณเจอใครสักคนที่คุณคิดว่าใช่เลย เป็นความรักที่แท้จริง ไม่ใช่ความหลง ไม่ใช่ความโรแมนติก และที่แน่นอนที่สุดเขาต้องรักคุณอย่างแท้จริงด้วยถ้าเป็นเช่นนั้นตัดสินใจแต่งได้เลยเพราะ......ความรักสามารถเอาชนะทุกสรรพสิ่ง.....ผู้หญิงมักเป็นกังวล เรื่องอนาคต..จนกระทั่งเธอมีสามี ผู้ชายไม่เคยกังวลถึงอนาคตข้างหน้า...จน กระทั่งเขามี ภรรยา

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

9 วิธีรับมือการทะเลาะกัน


กรณีศึกษาที่ 1 เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดคบกันมาตั้งหลายปีดีดัก แต่เพิ่งจะมารู้ตัวว่าเพื่อนรักแทงข้างหลังคุณจนมิดด้าม แถมยังทำหน้าแบ๊วใส่ ซื่อไร้มลทิน ประหนึ่งว่าไม่เคยทำร้ายกันมาก่อนวิธีแก้ข้อหนึ่ง วิธีของนางฟ้า ทำเป็นไม่รู้ซะ เพระถึงยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันมาก่อน คิดเสียว่าถ้าเราไม่บังเอิญไปรู้ก็ยังคงสนิทกันเหมือนเดิมได้ ไม่แน่ วันหนึ่งเขาอาจจะเสียใจก็ได้ที่ทำกับเราอย่างนี้ข้อสอง ทำแบ๊วกลับไป แต่แอบกัดเล็ก ๆ เช่น "เนี่ย...วันก่อนไปได้ยินเชอรี่นินทายัยแก้วเข้า ต๊าย ! ตัวเองรู้มั้ย เห็นยัยเชอรี่หน้าตาดี ๆ อย่างนั้นอะนะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะแทงเพื่อนข้างหลัง คนอย่างนี้เนี่ยคบไม่ได้ ถ้าชั้นเป็นยัยแก้วชั้นคงไม่รู้จะทำไงเหมือนกัน แหม...หลงไปคบคนหน้าเนื้อใจ็ลำบากอย่างนี้ล่ะนะ" รับรองว่าเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดของคุณต้องจิกเกร็งอยู่ในใจจนตะคริวกินไปเลยล่ะ อยากแบ๊วดีนักต้องเจอแบบนี้ค่า

กรณีศึกษาที่ 2 เพื่อนกินแรงการทำงานเป็นกลุ่มแบ๊วเพื่อนเอาเท้าราน้ำ ในขณะที่เราจ้ำพายสุดกำลังนั้นแสนจะเหนื่อยหนักหนาสาหัส บางครั้งก็เป็นเพื่อนสนิทก็ไม่รู้จะพูดจะอธิบายยังไงดี เพราะความจริงเป็นเรื่องที่พวกเขารู้อยู่แล้วว่าถ้าจะให้ถึงเป้าหมายโดยสวัสดิภาพ ทุกคนต้องเลิกเอาเท้าราน้ำ แล้วคว้าพายมาช่วยกันจ้วงเรื่องแบบนี้ต้องแก้ไขนะคะ ห้ามทำตัวเป็นนางเอกยุค ร.ศ.80 สมัยยังมาเลิกทาส ถึงคุณตรากตรำทำไปจนหลังแตกตายก็ไม่มีใครเห็นใจหรอกค่าวิธีแก้บอกกับเธอหรือเขาคนนั้นไปตรง ๆ แบบมีเหตุผล เช่น "จริงๆ เราก็ไม่ได้จะตำหนิเธอหรืออะไรนะ เพียงแต่ว่าการทำงานเป็นกลุ่มมันต้องช่วยกัน งานถึงจะเสร็จเร็วอีกอย่างนะเธอใช้โปรแกรมตัดต่อเก่งกว่าเราเยอะ ภาษาเธอก็ดีกว่า เนี่ยถ้าได้เอจัดการส่วนนี้กลุ่มเราต้องได้คะแนนดีแน่ ๆ เลย" ประมาณว่าชมด้วยหน่อยนึง

กรณีศึกษาที่ 3 เพื่อนทะเลาะกันคิดว่าทุกคนคงเคยตกอยู่ในสถาการณ์นี้มาก่อน คือเพื่อนในกลุ่ม ทะเลาะกัน แล้วพยายามจะแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ส่วนคุณเองก็ลำบากใจ ไม่รู้จะเลือกใครดี คุณควรพิจารณาด้วยเหตุและผลก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป เพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามการทะเลาะกันเป็นเรื่องของเพื่อนสองคนนั้น ถ้าคุณไม่ได้ไปหมางใจกับเพื่อนคนใดเป็นพิเศษก็ไม่ควรไปร่วมวงด้วย เพราะไม่ใช่กิจของคุณแต่อย่างใดวิธีแก้วางตัวเป็นปกติกับเพื่อนทั้งสองคน ถ้าทั้งสองฝ่ายพยายามบังคับให้คุณเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งควรบอกเค้าไปตรงๆว่า การที่พวกเขาทะเลาะกันนั้น คุณเข้าใจว่าต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผล ส่วนคุณเองก็มีเหตุผลเหมือนกัน เหตุผลคือทั้งสองคนนั้นเป็นเพื่อนที่ดีของคุณมาโดยตลอดและคุณก็หวังว่าจะเป็นตลอดไป จะดีมากเลยถ้าทั้งสองคนปรับความเข้าใจกันได้ แต่ถ้าตอนนี้ยังไม่พร้อมคุณก็รอได้ รอให้ทุกฝ่ายเย็นลงก่อนแล้วค่อยมาคุยกันอีกทีจะดีกว่า

กรณีศึกษาที่ 4 จับได้ว่าแฟนโกหกคุณรักแฟนคนนี้มาก สวีทกันมาตลอด จู่ ๆ ก็มาค้นพบว่าแฟนคุณแอบไปเดทกับสาวอื่น นาทีที่รู้คุณรู้สึกเหมือนกำลังถูกทรยศหักหลัง อยากจะกระโดดถีบหน้าแฟนสักที แต่อย่าเพิ่งค่ะใจเย็นก่อน ถ้าคุณคิดว่าเขายังควรค่ากับความรักของคุณ ทำตามคำแนะนำของเดี๊ยนดีกว่าวิธีแก้ข้อหนึ่ง ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน อย่าเพิ่งโวยวายให้ไก่สะดุ้ง ต้องใจเย็นไว้ก่อน แล้วค่อย ๆ ตะล่อมถามเป็นนัย ๆ ว่าที่เขาไปมีคนอื่นนี่เรารู้นะ แต่ว่าเราก็ไม่ได้โทษเขาฝ่ายเดียว อาจจะมีบางอย่างที่เรายังไม่พร้อมสำหรับเค้ารึเปล่า ถ้ามีอะไรที่เรายังขาดก็บอกได้นะ เรายินดีรับฟัง แต่ขอแค่อย่าทำอย่างนี้อีก จะคบใครก็คบคนนั้นไปคนเดียวดีกว่าข้อสอง ถามเค้าตรง ๆ ว่าเพราะอะไรถึงทำอย่างนี้ แล้วบอกเค้าว่าครั้งนี้จะให้อภัย แต่ครั้งต่อไปอย่าทำอีก

กรณีศึกษาที่ 5 งานเยอะมาก จนจะทับคอหักตายแล้วววววววว.....ตารางเรียนแน่นเอี๊ยดไม่มีเวลาว่าง ไหนจะต้องเรียนพิเศษ เรียนเปียโน เรียนบัลเล่ต์ แถมยังต้องอ่านหนังสือสอบอีกต่างหาก เรียกว่าได้นอนวันสามชั่วโมงก็หรูแล้วล่ะวิธีแก้พักสักนิดถ้าคุณเริ่มล้า ผ่อนคลายด้วยสิ่งที่คุณรัก เช่นการฟังเพลง เล่นกับสุนัข แล้วค่อยกลับไปทำงานต่อ วิกฤติคือโอกาสที่ดี ถ้าคุณทำเต็มที่ก็ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลังที่พลาดอะไรไป

กรณีศึกษาที่ 6 โดนเพื่อนจิกกัดอยู่ตลอดเวลาเคยมั้ยคะ ขนาดไม่ได้ทำอะไรแค่หายใจยังผิด ประมาณว่าไม่ถูกใจ คุณเธอเลยต้องแสดงออกทั้งทางสีหน้าและแววตาว่าชั้นไม่พอใจนะยะหล่อน ถ้าคุณกำลังตกอยู่ในสถานการณ์นั้น เดี๊ยนมีมีวิธีเก๋ ๆ มาแนะนำวิธีนางฟ้า น้ำนิ่งไหลลึก ทำหน้าเย็นชาอย่าไปสะทกสะท้าน ทำเหมือนหล่อนไม่มีตัวตนมองผ่านหล่อนไปเลย คิดซะว่าหล่อนเป็นอากาศธาตุ แค่นี้หล่อนก็จุกตายแล้วจ้า วิธีมนุษย์เดินดิน ถามเธอคนนั้นไปตรง ๆ ว่าเธอไม่พอใจอะไร เราเคยไปทำอะไรให้เธอไม่พอใจรึเปล่า ถ้าสามารถคุยกันได้ก็คุยไป ถ้าคุยกันดี ๆ ไม่ได้ก็มึนใส่ไปเลยนะ คนพวกนี้มักจะมีปมด้อย ชีวิตไม่ค่อยมีความสุข เหลาขาดคนสนใจ ไม่มีใครรัก ทำบุฯแล้วกรวดน้ำให้หล่อนดีกว่า จะได้ไปผุดไปเกิดซะที

กรณีศึกษาที 7 มีปัญหาเรื่องการเรียนการเรียนตกลง หรือเริ่มมีปัญหา เอนท์ฯไม่ติดอายเพื่อน รู้สึกเคว้งคว้าง ไม่รู้จะไปยังไงต่อดีวิธีแก้อย่างแรก ปรับความคิดของคุณก่อน การเอนท์ไม่ติดเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดได้กับคนทั่วไป คนเอนท์ไม่ติดมีมากกว่าคนเอนท์ติดตั้งหลายเท่า ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดพิสูจน์ได้ว่า คนที่เอนท์ติดจะประสบความสำเร็จกว่าคนเอนท์ไม่ติด คนเอนท์ติดถ้าไม่ตั้งใจเรียน โดนไทร์ขึ้นมา จะแย่กว่าด้วยซ้ำ คุณสามารถปรึกษารุ่นพี่หรืออาจารย์ เพื่อมองหาทางเลือกอื่น ๆ เช่น ศึกษาต่อในมหาลัยเปิด ศึกษาต่อในต่างประเทศ หรือเบนเข็มไปทางด้านสายอาชีพแทน

กรณีศึกษาที่ 8 รู้สึกว่าครอบครัวไม่เข้าใจเราน้อง ๆ หลายคนชอบบ่นว่าเบื่อที่พ่อแม่ไม่ค่อยเข้าใจ ทำอะไรก็ไม่ดี ไม่อยากอยู่บ้าน เบื่อไปหมด พ่อก็ดุ แม่ก็ขี้บ่น ฯลฯวิธีแก้ถามตัวเองก่อนว่าคุณเข้าใจคนอื่นดีหรือยัง ถ้าคุณจะไม่ให้พ่อแม่บ่น ก็ต้องทำให้เขาเลิกรักหรือรู้สึกเป็นห่วงคุณนั่นแหละ คนเรามีวิธีการแสดงออกความรักที่ไม่เหมือนกัน แต่คนสองคนที่ไม่มีวันไม่รักคุณ ไม่ว่าจะแสดงออกหรือไม่ก็ตามคือพ่อกับแม่ คุณอาจจะเคยได้ยินบ่อยแล้วที่ใคร ๆ บอกว่าบ่นเพราะเป็นห่วง ดุก็เพราะรัก แต่มันเป็นเรื่องจริง คนเราถ้าไม่รักไม่เป็นห่วงกันเค้าไม่คอยดูแลเรามาจนโตพอจะเถียงเค้าได้หรอกนะคะ เพราะฉะนั้น เวลาที่พ่อแม่ตักเตือนคุณควรรับฟังและนิ่งไว้ก่อน ถ้าสามารถนำไปปฏิบัติได้ก็ทำ แต่ถ้าไม่ได้ก็พยายามต่อไป อย่ามัวแต่คิดน้อยใจไปเลยจ้ะ

กรณีศึกษาที่ 9 เงินไม่พอใช้มีเท่าไหร่ไม่เคยเหลือ แถมยังต้องเบิกล่วงหน้าอีกด้วย ตอนนี้สภาพกรอบยิ่งกว่าหมูแผ่น เปราะบางมากขนาดพอใช้วันต่อวัน (อันนี้ผู้เขียนเป็นบ่อยค่ะ) ถ้าขึ้นรถผิดสายต้องเดินกลับบ้านกันเลยทีเดียววิธีแก้จัดระบบรายรับรายจ่ายใหม่ จดทุกอย่างที่จ่ายไปไม่ว่าจะเป็นค่าอะไร เลิกรสนิยมสูงถ้ารายได้คุณไม่พอจ่าย กระเป๋าอะไรที่ใส่เงินได้ก็ใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นกุดจี่ หรือป้าดา สมัยนี้เงินทองหายากจะตายไปจะมาหรูไปเพื่ออะไรกันคะเพื่อน ๆ กระเป๋าจะกระจอกงอกเหง้าแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าในนั้นมีแบงค์อัดแน่นอยู่ความกระจอกก็ไม่สำคัญอะไร ถ้าคุณเลิกรสนิยมสูงไม่ได้จริง ๆ แนะนำให้ใช้วิธีค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ทยอยออม ถ้าคิดจะไปเซ็ทผมที่ร้านเมื่อไหร่ให้เข้าห้องน้ำไปสระผมแล้สออกมาเซ็ทเอง จากนั้นก็หยอดกระปุกไป 200ค่าเซ็ทผม สิ้นเดือนมาเปิดดูคุณอาจจะได้กระเป๋าใบใหม่โดยไม่ต้องเป็นหนี้ก็ได้นะ